เมนู

บล็อกความรู้

ภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวาน คืออะไร? อันตรายกว่าที่คิด!

🩸 ภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวาน คืออะไร? อันตรายกว่าที่คิด!

ภาวะเลือดเป็นกรด หรือ DKA (Diabetic Ketoacidosis) คือ ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่ น้ำตาลในเลือดสูงและขาดอินซูลินอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายเกิดการ “เผาไขมันแทนน้ำตาล” จนสร้างสารคีโตนสะสมในเลือดมากเกินไป → ส่งผลให้ “เลือดเป็นกรด” และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

⚠️ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวาน

1️⃣ ขาดอินซูลินรุนแรงหรือไม่ได้ใช้ยาตามแพทย์สั่ง

   ▪️ลืมฉีดอินซูลิน

   ▪️หยุดยาเอง

   ▪️ปรับยาเอง

🛑 นี่คือสาเหตุอันดับ 1 ที่พบมากที่สุด


2️⃣ ติดเชื้อ เช่น ปอดบวม ไข้หวัดใหญ่ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ

เมื่อร่างกายติดเชื้อ น้ำตาลในเลือดจะพุ่งสูง ทำให้ร่างกายต้องใช้อินซูลินมากขึ้น

→ ถ้าอินซูลินไม่พอ ร่างกายจะสร้างคีโตนเร็วขึ้นมาก


3️⃣ ความเครียดทางกายหรืออารมณ์

เช่น อุบัติเหตุ ผ่าตัด เครียดสะสม

ฮอร์โมนเครียด เช่น adrenaline และ cortisol จะทำให้น้ำตาลสูงผิดปกติ


4️⃣ กินอาหารไม่เพียงพอ แต่ขาดอินซูลิน

บางคนคิดว่า “ไม่กินข้าว น้ำตาลคงลด”

แต่จริง ๆ ร่างกายจะหันไปเผาไขมันแทน → ทำให้เกิดคีโตนสูง


5️⃣ ตั้งครรภ์

เป็นช่วงที่ฮอร์โมนต่าง ๆ เปลี่ยน ทำให้ควบคุมน้ำตาลยากขึ้น

จึงเป็นอีกกลุ่มเสี่ยงที่พบภาวะเลือดเป็นกรดได้บ่อย


6️⃣ โรคเรื้อรังหรือโรคใหม่ที่เกิดขึ้น

เช่น หัวใจวาย การขาดน้ำรุนแรง การติดเชื้อเรื้อรัง

ทำให้ร่างกายใช้อินซูลินมากกว่าปกติจนไม่พอ


🔍 สัญญาณเตือนที่ต้องรีบไปโรงพยาบาล

   ▪️กระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย

   ▪️คลื่นไส้ อาเจียน

   ▪️หายใจเร็ว

   ▪️อ่อนเพลีย หน้ามืด

   ▪️กลิ่นลมหายใจคล้ายผลไม้ (บ่งบอกว่ามีคีโตนสูง)

  ◌ื▪️ระดับน้ำตาล > 250 mg/dL ร่วมกับคีโตนในปัสสาวะหรือเลือด


🎯 สรุปง่าย ๆ

ภาวะเลือดเป็นกรด (DKA) เกิดจาก น้ำตาลในเลือดสูง + อินซูลินไม่พอ + คีโตนสะสม

เป็นภาวะอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม และสามารถป้องกันได้ด้วยการ

   ✔ ใช้ยาตามแพทย์สั่ง

   ✔ เช็กน้ำตาลสม่ำเสมอ

   ✔ ไม่หยุดยาเอง

   ✔ พบแพทย์เมื่อป่วย ติดเชื้อ หรือมีอาการผิดปกติ

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

เดินวันละนิด… ช่วยลดน้ำตาลได้จริงไหม?

🚶‍♂️เดินวันละนิด… ช่วยลดน้ำตาลได้จริงไหม?


คำตอบคือ “ได้จริง” แต่ต้องเดินให้ถูกวิธี และเดินให้ “พอเหมาะ” กับร่างกาย

หลายคนคิดว่าออกกำลังกายต้องหนัก ต้องนาน แต่ในความจริง การเดินสม่ำเสมอ เพียงวันละไม่กี่นาที ก็สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้อย่างมีนัยสำคัญ


✔ ทำไมการเดินถึงช่วยลดน้ำตาล?


เพราะระหว่างเดิน


▪️กล้ามเนื้อใช้ “น้ำตาลในเลือด” เป็นพลังงาน

▪️เพิ่มความไวของอินซูลิน ทำให้เซลล์ดึงน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้น

▪️ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัญหาหลักของผู้เป็นเบาหวาน


ผลคือระดับน้ำตาลหลังอาหารและทั้งวัน “ค่อย ๆ ลดลง”


🕒 ต้องเดินนานแค่ไหนถึงเห็นผล?

งานวิจัยแนะนำว่า

   ▪️เดิน วันละ 15–30 นาที

   ▪️หรือแบ่งเป็น หลังอาหารมื้อละ 10 นาที จะช่วยลดน้ำตาลหลังอาหารได้ดีที่สุด

   ▪️เดินอย่างสม่ำเสมอทุกวัน = ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าเดินนาน ๆ แต่อาทิตย์ละ 1 ครั้ง


👟 เดินแบบไหนได้ประโยชน์ที่สุด?

   ▪️เดินในระดับ เร็วพอให้หายใจลึกขึ้น แต่ยังคุยได้

   ▪️หลังอาหาร 10–15 นาที คือช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการเผาผลาญน้ำตาลมากที่สุด

   ▪️หากมี CGM จะเห็นชัดว่า “กราฟหลังอาหารลดลง” เมื่อเดินอย่างเหมาะสม


🎯 เหมาะกับใครบ้าง?

   ✔ ผู้ป่วยเบาหวาน

   ✔ คนที่น้ำตาลเริ่มสูง แต่ยังไม่อยากกินยา

   ✔ คนที่นั่งทำงานทั้งวัน

   ✔ ผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบไม่หักโหม


ปลอดภัยกว่าการออกกำลังกายหนัก และทำได้ทุกวัย


💡 สรุปสั้น ๆ

การเดินวันละนิด ไม่ใช่แค่ “ดี” แต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ ได้ผลที่สุด ในการลดน้ำตาล โดยไม่ต้องพึ่งยาเพิ่ม

ขอเพียงทำ สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง แล้วร่างกายจะตอบแทนคุณเอง

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

พฤติกรรมที่ทำให้น้ำตาลพุ่ง "โดยไม่รู้ตัว

🌡️ พฤติกรรมที่ทำให้น้ำตาลพุ่ง "โดยไม่รู้ตัว"

รู้ก่อน… ป้องกันได้ก่อน 💡

หลายคนพยายามควบคุมน้ำตาลอย่างดี แต่ตัวเลขยัง พุ่งขึ้นแบบงงๆ ทั้งที่ไม่ได้กินหวานจัด แล้วมันเกิดจากอะไร? มาดูพฤติกรรมลับ ที่ทำให้น้ำตาลสูงแบบไม่รู้ตัวกันครับ 👇


🍚 1) กินข้าว–เส้น–ขนมปังเยอะเกิน แม้จะไม่หวาน

อาหารพวกคาร์โบไฮเดรตขัดสี ย่อยเร็ว น้ำตาลพุ่งเร็วมาก

ตัวอย่าง: ข้าวขาว 2 จาน, ก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่, ขนมปัง 2–3 แผ่น

➡ ร่างกายย่อยเป็น “กลูโคส” อย่างรวดเร็ว


🍍 2) ผลไม้หวาน จัดว่า "ธรรมชาติ" แต่ดันพุ่งแรง

แม้จะดูสุขภาพดี แต่บางชนิดน้ำตาลสูง

เช่น: องุ่น สับปะรด มะม่วงสุก ลำไย ทุเรียน

➡ กินทีละเยอะ ไม่พุ่งก็แปลกแล้ว!


🥤 3) เครื่องดื่มแฝงน้ำตาล

ไม่ใช่แค่ชานมไข่มุกแต่รวมถึง

▪️น้ำผลไม้กล่อง

▪️ชาเย็น กาแฟเย็นที่ใส่นมข้น

▪️น้ำเก็กฮวย น้ำจับเลี้ยง

➡ คำว่า “หวานน้อย” ก็ยังทำพุ่งได้


😴 4) นอนน้อย นอนดึก

การนอนไม่พอทำให้ร่างกายดื้ออินซูลิน

➡ แม้กินเหมือนเดิม แต่น้ำตาลขึ้นง่ายกว่าเดิม


😥 5) เครียดสะสม

เวลาเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มระดับน้ำตาล

➡ ไม่ได้กินก็พุ่งได้!


🛋️ 6) นั่งนาน ไม่ขยับตัว

โดยเฉพาะหลังอาหาร

➡ น้ำตาลไม่มีการดึงไปใช้ ทำให้ค้างในเลือดนานขึ้น


🍛 7) กินอาหารมัน ๆ หรือทอด ๆ ร่วมกับคาร์โบไฮเดรต

ของทอด ไขมันสูง ทำให้น้ำตาลค้างในกระแสเลือด

➡ ส่งผลให้พุ่งช้าแต่พุ่งนาน


✔ แล้วควรทำอย่างไรให้คุมได้ง่ายขึ้น?

   ▪️เลือกคาร์บเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ผัก

   ▪️คุมปริมาณผลไม้ กินทีละน้อย

   ▪️ขยับร่างกาย 10–15 นาทีหลังอาหาร

▪️พักผ่อนให้พอ ลดเครียด

▪️เลี่ยงเครื่องดื่มรสหวาน


✨ การรู้ทันพฤติกรรม = คุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น

แค่ปรับเล็กๆ น้อยๆ ตัวเลขดีขึ้นได้แบบไม่ต้องทรมาน

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

วิธีใช้ CGM ให้ได้ประโยชน์สูงสุด! รู้ก่อน…คุมก่อน!

🌟 วิธีใช้ CGM ให้ได้ประโยชน์สูงสุด! รู้ก่อน…คุมก่อน!


การมี CGM (Continuous Glucose Monitor) ไม่ใช่แค่ติดไว้เฉยๆ แล้วจบ แต่ถ้าใช้ให้ถูกวิธี ช่วยให้คุมน้ำตาลง่ายขึ้นแบบเห็นผลจริง 🎯


🔍 1) ดูเทรนด์ ไม่ใช่แค่ตัวเลข

หลายคนดูแค่ค่าน้ำตาลตอนนี้ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ…

   ➡ เส้นขึ้นเร็วไหม?

   ➡ ขึ้นหลังทานอะไร?

   ➡ ลดลงช้าหรือเร็วเกินไปหรือเปล่า?

การอ่าน “แนวโน้ม” ช่วยให้เราแก้ไขพฤติกรรมได้ตรงจุดกว่ามาก


🍽 2) จดอาหาร + ดูผลทันที

กินอะไร → น้ำตาลตอบสนองแบบไหน คือ “คู่มือเฉพาะของเรา”

ลองสังเกตว่า

   ✔ อาหารไหนทำให้น้ำตาลพุ่ง

   ✔ อาหารไหนนุ่ม ละมุนกับน้ำตาลในร่างกาย


Tip: ถ่ายรูปอาหารเก็บไว้ ดูคู่กับกราฟได้เลย


🏃‍♂️ 3) ขยับร่างกายหลังอาหาร 10–15 นาที

แค่เดินเบาๆ หลังมื้ออาหาร น้ำตาลลดลงเร็วแบบเห็นได้ชัด

CGM ทำให้เราเห็นผลตรงหน้า → ทำให้มีแรงบันดาลใจมากขึ้น!


⏰ 4) ติดตามช่วงเวลา “เสี่ยง” ของตัวเอง

   บางคนพุ่งช่วงเช้า

   บางคนพุ่งช่วงดึก

   บางคนพุ่งหลังเมนูหวาน

รู้เวลาพุ่งของตัวเอง = ป้องกันได้ก่อน


🌙 5) สังเกตน้ำตาลตอนกลางคืน

CGM ทำให้รู้ว่ากลางคืนมีน้ำตาลตกหรือลอยสูงหรือไม่

ข้อมูลนี้สำคัญมากในการปรับยา / ปรับพฤติกรรม (ภายใต้คำแนะนำแพทย์)


📊 6) ดูค่า Time in Range (TIR) เป็นหลัก

เป้าหมายสำคัญของคนดูแลเบาหวานคือ

TIR สูง = น้ำตาลเสถียร = เสี่ยงโรคแทรกซ้อนน้อยลง

CGM ทำให้เห็นภาพรวมทั้งวัน ไม่ใช่แค่บางจุดเหมือนเจาะนิ้ว


💡 สรุปง่ายๆ

ใช้ CGM ให้ได้ผล = สังเกต → ปรับ → ทำซ้ำ

ยิ่งใช้เป็น ยิ่งเข้าใจร่างกายตัวเอง และควบคุมน้ำตาลได้ง่ายขึ้นจริง ❤️

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

 10 อาหารที่ช่วยลดน้ำตาลและไขมัน เลือกทานทุกวัน สุขภาพดีขึ้นจริง!

🌿 10 อาหารที่ช่วยลดน้ำตาลและไขมัน เลือกทานทุกวัน สุขภาพดีขึ้นจริง!

อยากคุมน้ำตาล ลดไขมันแบบไม่ต้องพึ่งยาเพิ่ม? เริ่มจาก “อาหารดี ๆ” ใกล้ตัวนี่แหละครับ 🥗

เพราะอาหารบางชนิดช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ลดไขมันในเลือด และทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง👇

🥦 1. ผักใบเขียวทุกชนิด

ไฟเบอร์สูง ช่วยชะลอการขึ้นของน้ำตาลหลังอาหาร

ตัวอย่าง: คะน้า ผักโขม บรอกโคลี ผักกาดหอม


🥑 2. อะโวคาโด

ไขมันดีสูง ลดไขมันเลว (LDL) และช่วยให้อิ่มนาน คุมหิวได้ดี


🌾 3. ข้าวโอ๊ต (Oat)

มีไฟเบอร์ชนิดเบต้ากลูแคน ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและลดคอเลสเตอรอล


🫘 4. โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วชนิดต่าง ๆ

ให้พลังงานต่ำกว่าโปรตีนจากสัตว์ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่


🫐 5. เบอร์รี่หลากชนิด

น้ำตาลต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ทำให้ร่างกายใช้กลูโคสดีขึ้น


🫒 6. น้ำมันมะกอก (Extra Virgin)

ช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) และลดไขมันเลว


🐟 7. ปลาไขมันดี เช่น แซลมอน ซาร์ดีน

อุดมด้วยโอเมก้า-3 ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ


🍵 8. ชาเขียว

มีสาร EGCG ช่วยควบคุมน้ำตาล และช่วยรีดไขมันสะสม


🌰 9. ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ วอลนัท

เพิ่มไขมันดี อิ่มท้องนาน ลดการกินจุบกินจิบ


🌿 10. ไข่ผำ (Wolffia) – โปรตีนพืชที่กำลังมาแรง

▪️โปรตีนสูงกว่าไข่ไก่หลายเท่า

▪️ไขมันต่ำมาก

▪️มีไฟเบอร์ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล

▪️มีวิตามินบี 12 และสารอาหารครบ


เหมาะกับผู้ที่ต้องการคุมน้ำตาล ไขมัน และลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี


✔ สรุปง่าย ๆ

อาหารช่วยลดน้ำตาลและไขมันมี 3 กลุ่มสำคัญ

1. ไฟเบอร์สูง → ชะลอน้ำตาล

2. ไขมันดี → ลดไขมันเลว

3. โปรตีนคุณภาพดี → อิ่มนาน ไม่ทำให้น้ำตาลพุ่ง

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

เบาหวาน เข้าใจง่ายใน 3 นาที

🩺เบาหวาน เข้าใจง่ายใน 3 นาที

โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบมากที่สุดในยุคนี้ แต่ความจริงแล้ว… หลายคนยัง “เข้าใจผิด” เกี่ยวกับเบาหวานอยู่มาก การรู้พื้นฐานให้ถูกต้องจึงสำคัญ เพราะช่วยให้ดูแลตัวเองได้ง่ายขึ้น และป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

ภายใน 3 นาทีนี้ คุณจะเข้าใจว่าเบาหวานคืออะไร เกิดจากอะไร และควรเริ่มดูแลอย่างไร

🩸 1. เบาหวานคืออะไร?

เบาหวานคือภาวะที่ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เป็นเวลานาน

สาเหตุหลักเกิดจาก

   ▪️ร่างกาย “สร้างอินซูลินไม่พอ” หรือ

   ▪️ร่างกาย “ดื้อต่ออินซูลิน”

อินซูลินคือฮอร์โมนที่ช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อระบบนี้ผิดปกติ น้ำตาลจึงค้างอยู่ในเลือดมากเกินไป

⚠️ 2. ทำไมเบาหวานจึงควรระวัง?

น้ำตาลสูงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในระยะยาว เช่น

   ▪️โรคหัวใจและหลอดเลือด

   ▪️ปัญหาไต

   ▪️ชาปลายมือปลายเท้า

   ▪️สายตาเสื่อม

แต่ข่าวดีคือ… การจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ จะลดความเสี่ยงได้มาก

🧠 3. เบาหวานมีอาการให้สังเกตหรือไม่?

บางคนไม่มีอาการเลย แต่สัญญาณที่พบบ่อย ได้แก่

   ▪️กระหายน้ำบ่อย

   ▪️ปัสสาวะบ่อย

   ▪️อ่อนเพลียผิดปกติ

   ▪️น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ

ควรตรวจสุขภาพประจำปี เพราะหลายคนรู้ตัวช้าเมื่อเกิดอาการแล้ว

🍽️ 4. สาเหตุหลักของเบาหวานในยุคปัจจุบัน

โรคนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความหวานอย่างเดียว

แต่เกี่ยวกับ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น

   ▪️กินอาหารแปรรูปบ่อย

   ▪️เครื่องดื่มหวาน

   ▪️ขาดการออกกำลังกาย

   ▪️น้ำหนักเกิน

   ▪️ความเครียด

   ▪️การนอนหลับไม่พอ

สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกาย “ดื้อน้ำตาล” มากขึ้น

💚 5. สามสิ่งที่ช่วยคุมน้ำตาลได้ง่ายที่สุด

คุณสามารถเริ่มได้วันนี้เลย

   ✔ 1. ลดอาหารที่ทำให้น้ำตาลพุ่งเร็ว

เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม ข้าวขาว เส้นขาว ขนมปังขัดสี

   ✔ 2. เพิ่มโปรตีนและไฟเบอร์

ช่วยให้น้ำตาลขึ้นช้าลง ตัวอย่างเช่น

     ▪️โปรตีนพืช

     ▪️ผักใบเขียว

     ▪️ธัญพืช

     ▪️ถั่ว

   ✔ 3. ขยับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ

แค่เดินวันละ 20–30 นาที ก็ช่วยลดระดับน้ำตาลหลังอาหารได้อย่างเห็นผล

🎯 6. เบาหวานไม่ใช่โรคที่ควบคุมไม่ได้

ปัจจุบันมีความรู้และเครื่องมือมากมาย เช่น การติดตามระดับน้ำตาล (CGM) การปรับพฤติกรรม และอาหารทางเลือกที่ช่วยให้คุมน้ำตาลได้ง่ายขึ้น

หลายคนสามารถทำให้ระดับน้ำตาลดีขึ้นจนเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “เบาหวานระยะสงบ” ได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง


🤍 สรุปใน 3 นาที

   1. เบาหวาน = น้ำตาลในเลือดสูง เพราะอินซูลินทำงานผิดปกติ

   2. อันตราย เพราะส่งผลต่อหัวใจ ไต สายตา และระบบประสาท

   3. ป้องกันและคุมได้ด้วยอาหารที่ดี การขยับร่างกาย และการติดตามสุขภาพ

   4. ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งดูแลง่าย


👉สุขภาพไม่ใช่เรื่องยาก… แค่เริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้อง 😊

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

ภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยเบาหวาน

💭 “ภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยเบาหวาน”

เขียนในแนวให้เข้าใจง่าย กระตุ้นความรู้สึก และชวนให้ตระหนักถึงการดูแลใจไปพร้อมกับการดูแลร่างกาย 👇

💙 เบาหวาน…ไม่ได้กระทบแค่ร่างกาย แต่อาจกระทบ “ใจ” ด้วย

หลายคนอาจไม่รู้ว่า…

ผู้ป่วย เบาหวานมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า

เพราะต้องเผชิญกับความเครียด ความกังวลเรื่องสุขภาพ

ความกลัวภาวะแทรกซ้อน หรือความรู้สึก “ท้อแท้” จากการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง


⚠️ สัญญาณเตือนของภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยเบาหวาน

   1. เบื่ออาหาร หรือนอนไม่หลับ

   2. รู้สึกเศร้า เหงา หรือหมดแรงจูงใจ

   3. ไม่อยากพูดคุยหรือเจอผู้คน

   4. ละเลยการดูแลตัวเอง ไม่ตรวจน้ำตาล ไม่กินยา

   5. คิดว่าตัวเองไม่มีค่า หรือสิ้นหวัง


หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ อย่านิ่งเฉยนะครับ

เพราะ “ใจ” ที่อ่อนแรง อาจทำให้ควบคุมเบาหวานได้ยากขึ้น

และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้


💡 วิธีดูแลใจในผู้ป่วยเบาหวาน

   1. พูดคุย เปิดใจ กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่ไว้ใจ

   2. ฝึกผ่อนคลาย เช่น เดินเล่น ทำสมาธิ หรือฟังเพลง

   3. ออกกำลังกายเบา ๆ สม่ำเสมอ

   4. กินอาหารให้ครบหมู่ ไม่อดมื้อกินมื้อ

   5. หากรู้สึกเศร้าต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์  ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

เบาหวานชนิดที่ 2 รู้ทันไว้ ป้องกันได้!

💙 เบาหวานชนิดที่ 2 รู้ทันไว้ ป้องกันได้!

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากร่างกาย ดื้อต่ออินซูลิน หรือสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอ

ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงสะสม จนเกิดปัญหาสุขภาพตามมา


🩸 สัญญาณเตือนเบาหวานที่ควรสังเกต

   - กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย

   - เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

   - แผลหายช้า

   - มองเห็นไม่ชัด


🍽️ ป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรม

   - ลดของหวาน น้ำตาล เครื่องดื่มชูกำลัง

   - กินอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก โปรตีนดี

   - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

   - ตรวจน้ำตาลในเลือดปีละครั้ง


💚 “เบาหวานชนิดที่ 2” ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์อย่างเดียว

แต่เกิดจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิตในทุกวันของเราเอง


เริ่มเปลี่ยนวันนี้ เพื่อสุขภาพดีในวันหน้า 💪

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

รู้จักเบาหวานชนิดที่ 1 ใน 1 นาที

💉 รู้จักเบาหวานชนิดที่ 1 ใน 1 นาที

   โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นภาวะที่ ร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เลย เพราะระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ในตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินเอง ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ

👶 มักพบในเด็กหรือวัยรุ่น

แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นได้เช่นกัน

📍อาการที่ควรสังเกต

   - ปัสสาวะบ่อย

   - หิวน้ำมาก

   - น้ำหนักลดรวดเร็ว

   - เหนื่อยง่าย

💊 การรักษาต้องอาศัย “การฉีดอินซูลิน” แทนร่างกายทุกวัน

และควบคุมอาหาร + ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

❤️‍🩹 แม้ต้องดูแลใกล้ชิด แต่ถ้าควบคุมดี ก็ใช้ชีวิตได้ปกติและแข็งแรงเหมือนคนทั่วไปครับ

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

การออกกำลังกาย = ยาชั้นดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

🩺 การออกกำลังกาย = ยาชั้นดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

   การออกกำลังกายช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเป็นธรรมชาติ

แต่ควรทำอย่างถูกวิธีและปลอดภัยเสมอ


💚 ประโยชน์สำคัญ

1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

กล้ามเนื้อที่ทำงานจะดึงน้ำตาลจากเลือดไปใช้ ทำให้ระดับน้ำตาลลดลง


2. เพิ่มความไวต่ออินซูลิน

ร่างกายใช้อินซูลินได้มีประสิทธิภาพขึ้น


3. ควบคุมน้ำหนัก ลดไขมันในช่องท้อง

ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน


4. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนหลักของเบาหวาน


5. สุขภาพจิตดีขึ้น

ลดเครียด หลับสบาย และรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น


🏃‍♀️ ออกกำลังกายแบบไหนดี?

1. แอโรบิก (Aerobic)

เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นเบา ๆ

   - ครั้งละ 30 นาที, อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์

   - ความหนักระดับปานกลาง (พูดได้ แต่ร้องเพลงไม่ได้)


2. เสริมกล้ามเนื้อ (Resistance Training)

เช่น ยกน้ำหนักเบา ใช้หนังยางยืด ลุก–นั่งจากเก้าอี้

   - สัปดาห์ละ 2–3 วัน

   - ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ทำให้ใช้พลังงานและน้ำตาลได้ดีขึ้น


3. ยืดเหยียดและทรงตัว (Stretching / Balance)

เช่น โยคะ ไทเก๊ก หรือยืดกล้ามเนื้อก่อน–หลังออกกำลัง

   - ป้องกันการบาดเจ็บและเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย


⚠️ ข้อควรระวัง

   1. ตรวจน้ำตาลก่อน–หลังออกกำลังกาย โดยเฉพาะผู้ใช้ยา/อินซูลิน

   2. พกของหวานติดตัว เช่น น้ำผลไม้หรือกลูโคสเจล เผื่อภาวะน้ำตาลต่ำ

   3. ออกกำลังหลังอาหาร 1–2 ชั่วโมง

   4. ดูแลเท้าให้ดี ใส่รองเท้าพอดี ป้องกันแผล

   5. เริ่มจากเบา ๆ แล้วค่อยเพิ่มความหนัก


💡 ตัวอย่างกิจกรรมง่าย ๆ

   - เดินรอบบ้านหรือในสวนวันละ 30 นาที

   - ปั่นจักรยานอยู่กับที่ระหว่างดูทีวี

   - ยกขวดน้ำแทนดัมเบล

   - ทำงานบ้าน เช่น ถูพื้น รดน้ำต้นไม้

   - ขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์


อย่าลืมครับ 💬

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ คือ “ยาฟรี” ที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานมีชีวิตแข็งแรงและยืนยาวขึ้นได้จริง 💪

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

จาก HbA1c 7.99 เหลือ 6.49 ใน 4 เดือน — สุขภาพดีขึ้นได้จริงครับ

🌿💚 จาก HbA1c 7.99 เหลือ 6.49 ใน 4 เดือน — สุขภาพดีขึ้นได้จริงครับ

เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา (29 เม.ย. 68)

ผมตรวจเลือดแล้วพบว่า

📍 น้ำตาลในเลือด (Glucose) อยู่ที่ 132 mg/dL

📍 ค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสม (HbA1c) สูงถึง 7.99%


ตอนนั้นรู้สึกกังวลเลยครับ เพราะตัวเลขแบบนี้หมายถึง “ร่างกายยังควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี” และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน


แต่ผมเลือกที่จะไม่เพิ่มยา

ผมตั้งใจปรับวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด —

🍽 ทำ IF (Intermittent Fasting) จัดเวลาการกินให้เหมาะสม

🥗 ลดอาหารแปรรูปและของหวาน

🍵 ดื่ม ผำผง (Wolffia Powder) ทุกวัน เป็นโปรตีนจากธรรมชาติที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด


และนี่คือผลตรวจล่าสุดของผม (9 ก.ย. 68)

✅ Glucose ลดลงเหลือ 119 mg/dL

✅ HbA1c ลดลงเหลือ 6.49%


เพียง 4 เดือน ตัวเลขดีขึ้นจนหมอยังชมว่า “เยี่ยมมากครับ”

ที่สำคัญคือ ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น หลับดีขึ้น และน้ำหนักลดลงอย่างเป็นธรรมชาติด้วย


ผมอยากบอกทุกคนว่า...

> “สุขภาพดี เริ่มได้จากการปรับสิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำทุกวัน ไม่ต้องอด ไม่ต้องทรมาน แค่เข้าใจร่างกายตัวเองและเลือกสิ่งที่ดีให้มันครับ”

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

 ปัญหาในชีวิตประจำวัน..ที่เจอทุกวัน

🕑 ปัญหาในชีวิตประจำวัน

1. การกินยา

   👉ต้องกินยาเป็นประจำหลายเม็ด (เบาหวาน + ความดัน + ไขมัน)

   👉บางครั้งลืม → คุมโรคไม่ได้


2. ค่าใช้จ่าย

   👉ค่ายา ค่าตรวจเลือด ค่าหาหมอ

   👉ค่าอาหารสุขภาพที่มักแพงกว่าปกติ


3. ข้อจำกัดในการใช้ชีวิต

   👉ออกกำลังกายหนักไม่ได้ → หอบ เหนื่อยง่าย

   👉ต้องพกอาหารว่าง/ผลไม้เผื่อเวลาน้ำตาลตก


4. การเข้าสังคม

   👉ไปงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ → กินอาหารเหมือนคนอื่นไม่ได้

   👉ทำให้รู้สึก “แตกแยก”

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

ปัญหาด้านจิตใจและอารมณ์..ที่เจอทุกวัน

🧠 ปัญหาด้านจิตใจและอารมณ์ที่เจอทุกวัน

   👉เครียด กังวล กลัวภาวะแทรกซ้อน

   👉รู้สึกถูกจำกัดอิสระการกินและการใช้ชีวิต

   👉บางครั้งท้อใจเพราะต้องกินยาไปตลอดชีวิต

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :

ปัญหาด้านสุขภาพ 😥ที่ตัวคุณต้องเผชิญ

🩺 ปัญหาด้านสุขภาพ 😥ที่ตัวคุณต้องเผชิญ

1. การควบคุมอาหารที่เข้มงวด

   🔻 ต้องเลี่ยงของหวาน มัน เค็ม

   🔻 กินไม่เหมือนคนรอบข้าง ทำให้รู้สึกกดดันหรือถูกจำกัด

2. น้ำตาลในเลือดไม่คงที่

   🔻 น้ำตาลขึ้น ๆ ลง ๆ → ทำให้เหนื่อย เพลีย มือสั่น ปวดหัว หงุดหงิดง่าย

3. ความดันโลหิตแปรปรวน

   🔻 เวียนหัว หน้ามืดง่าย โดยเฉพาะเวลาลุกเร็ว ๆ

   🔻 ต้องวัดความดันบ่อยเพื่อคุมให้อยู่ในเกณฑ์

4. ไขมันในเลือดสูง

   🔻 ทำให้เสี่ยงหลอดเลือดตีบ หัวใจขาดเลือด หรืออัมพาต

   🔻 ต้องกินยาลดไขมันและตรวจเลือดสม่ำเสมอ

5. ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน

   🔻 ชาปลายมือปลายเท้า (เส้นประสาทเสื่อม)

   🔻 ตาพร่ามัว (เบาหวานขึ้นตา)

   🔻 แผลหายช้า เสี่ยงติดเชื้อ

ชื่อของคุณ :
ความคิดเห็น :
Superfood Elite Clup
X